บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1. สบู่
รอบรู้เรื่องสบู่ : ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดคู่กาย
ประเทศไทยเป็นเมืองร้อนหลายคนอาบน้ำวันละมากกว่า 1 ครั้ง สมัยก่อนมีสบู่ก้อนแต่เพียงอย่างเดียว สมัยนี้มีสบู่นานาชนิด มีปัญหาที่ต้องถามกันว่า สบู่เหล่านี้มีดีมากดีน้อย เปรียบเทียบกันอย่างไร
ความรู้จากวารสารสนองโอฐสภากาชาดไทย ISSN 0125-5851 ให้ความรู้ในเรื่องนี้ไว้ดังนี้
การอาบน้ำทำความสะอาดผิวหนังเป็นกิจวัตรที่ทุกคนชื่นชอบ เพราะนอกจากจะช่วยขจัดคราบสกปรกของเหงื่อไคล ไขมันเคลือบผิว เชื้อจุลชีพและฝุ่นที่เกาะหนังขี้ไคล การอาบล้างผิวยังช่วยผ่อนคลายความร้อนและความเครียดได้อีกด้วย หลายคนมีความสุขกับการอาบน้ำ บางคนตกแต่งห้องน้ำอย่างหรูหรา สวยงาม และใช้เวลาในการอาบน้ำนานเป็นพิเศษ จริง ๆ แล้วธรรมชาติของผิวหนังจะมีขบวนการทำความสะอาดแบบอัตโนมัติ โดยการผลัดหนังขี้ไคลออกตลอดเวลา การหลุดร่วงของหนังขี้ไคลจะช่วยกำจัดคราบสกปรกไปในตัว ถ้าเป็นผิวแห้งลื่นคราบสกปรกก็ไม่เกาะติด แต่เนื่องจากผิวมีความมัน อีกทั้งยังมีการใช้เครื่องสำอางซึ่งช่วยส่งเสริมให้คราบฝุ่นละออง เขม่าควันที่อยู่ในบรรยากาศภายนอกเกาะผิวแน่นขึ้นไปอีกจึงจำเป็นต้องมีการชำระล้างออก เพื่อการมีผิวพรรณที่สดใสสะอาดของเรา และผลิตภัณฑ์เพื่อการทำความสะอาดผิวหนังส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องสำอางที่มีมูลค่าสูง มีการพัฒนาสูตรต่าง ๆ ให้ถูกใจผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา มีการโฆษณาลักษณะความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ และนิยมใช้ผู้มีชื่อเสียง บุคลิกดี ผิวสวยเป็นผู้แนะนำสินค้าเพื่อแย่งชิงผู้บริโภค ฉะนั้นก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวเรามาดูกันก่อนดีกว่าว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์อะไรจึงจะเหมาะสมกับสภาพผิว มีหลากหลายคำถามเกิดขึ้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดผิว เช่น สบู่ก้อนต่างกับสบู่เหลวหรือโฟมอย่างไร
สบู่ก้อนแบบดั้งเดิม (Soap) ทำจากไขสัตว์หรือไขพืช ทำปฏิกิริยากับด่าง จึงมีฤทธิ์ เป็นด่าง หลายคนอาจเกรงว่าสบู่ก้อนจะระคายผิว ในปัจจุบันสบู่ก้อนอาจได้จากสารสังเคราะห์ (syndet) ซึ่งจะมีความเป็นด่างน้อยลง เดิมจากความเป็นด่าง pH 10-11 เป็น pH 8-9 แต่ ราคาสบู่สังเคราะห์จะแพงกว่า จากการศึกษาพบว่าทั้ง 2 แบบทำให้เกิดความระคายเคืองเท่ากัน
สบู่เหลวเป็นสารสังเคราะห์ ลดแรงตึงผิว (surfactant) จะมี 2 แบบ คือ ลดแรงตึงผิวชนิดประจุลบ (anionic surfactant) เช่น sodium lauryl ether sulfate ซึ่งนิยมใช้ในสบู่เหลวและแชมพูเกือบทุกชนิด และชนิดประจุผสม (amphoteric herfactant) เช่น สาร betaine ซึ่งจะไม่ระคายเยื่อบุผสม อยู่ในสบู่เหลว หรือแชมพูเหลวสำหรับเด็ก สารจะมีฟองน้อยกว่าและราคาแพงกว่า สบู่เหลวมีความเป็นกรดด่างเกือบจะเท่ากับผิวหนัง คือประมาณ pH 5-6
การใช้สบู่ก้อนหรือสบู่เหลวจะชำระล้างคราบสกปรกได้เท่ากัน อาจระคายเคืองผิวได้เหมือนกัน แต่สบู่เหลวอาจทำให้ผิวแห้งเพราะสบู่สัมผัสคราบได้ดีกว่า จึงมีการพัฒนาเป็นโฟม (wash off foam) คือ สบู่เหลวผสมครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ดังนั้นท่านสามารถเลือกใช้ตามความชอบได้ แต่ราคาสบู่ก้อนจะถูกกว่า
สบู่ไร้ฟองจะทำความสะอาดผิวได้ดีกว่าใช่หรือไม่
ฟองจากสบู่เป็นผลพลอยได้เมื่อเราใช้สบู่ ผู้ผลิตจึงพยายามผลิตสบู่ให้มีฟองมาก ๆ โดยเติมสารเพิ่มฟอง แต่ทฤษฎีฟองกลับขัดขวางการขจัดคราบสกปรก โดยหลักการชำระล้างควรล้างเฉพาะคราบสกปรกออก และเหลือน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวให้พอเหมาะ ในสบู่ไร้ฟองเมื่อล้างจนหมดคงทำให้ผิวแห้งเกินไป ในหลายผลิต ภัณฑ์อาจเติมความชุ่มชื้น (moisturizer) ซึ่งก็ไม่เหมือนน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ บางชนิดก่อให้เกิดการแพ้หรืออุดตันรูขุมขนได้ ดังนั้นสบู่มีฟองก็ดีเท่ากับสบู่ไร้ฟอง แถมราคาถูกกว่าด้วย
สบู่ที่มีความเป็นด่างจะระคายเคืองต่อผิวหนังใช่หรือไม่
สบู่ก้อนจะมีฤทธิ์เป็นด่าง ส่วนสบู่เหลวหรือโฟมจะมีความเป็นกรดด่างเท่ากับผิวหนัง ความจริงแล้วผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหนังจะสัมผัสกับผิวหนังของเราในระยะสั้น ๆ เมื่อล้างออกแล้วความเป็นด่างของผิวก็จะกลับคืนสู่ภาวะปกติภายใน 30 นาที ฉะนั้นถ้าผิวหนังเราปกติ ไม่มีบาดแผล ความเป็นกรดด่างของสบู่ก็ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ มีหลายคนชอบใช้สบู่ฤทธิ์กรด เพราะเข้าใจว่าจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ ในผิวปกติจริง ๆ แล้วมีเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเชื้ออื่น ๆ จึงไม่ควรใช้สบู่ฤทธิ์กรดเพราะมักจะระคายผิว
สบู่ซึ่งผสมสารฆ่าเชื้อจุลชีพจะช่วยให้ผิว สะอาดกว่าจริงหรือไม่
เนื่องจากผิวหนังมีเชื้อจุลชีพอาศัยอยู่หลายชนิดอย่างสมดุลทั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ในภาวะปกติเชื้อเหล่านี้จะทำหน้าที่ป้องกันเชื้อร้ายแบบอื่น ๆ และสร้างสารซึ่งมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อโรคที่มีอันตรายในสภาพผิวปกติการใช้สารฆ่าเชื้อจึงอาจทำให้ร่างกายเกิดการบกพร่องของความสมดุล สบู่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่นิยมใช้กันจะผสมไตรโคซาน (trichosan) อาจใช้ได้ในผิวที่เกิดผื่นคัน ซึ่งมีการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียผิดปกติ แต่ควรใช้ในระยะสั้นตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนชนิดที่ผสมสารฆ่าเชื้อรา เช่น คีตาโคนาโซน (ketaconazone) และ ซินส์ ไพริไทออน (Zinc pyrithione) มักผสมอยู่ในแชมพูขจัดรังแค แต่ก็นำมาใช้รักษาสิวหรือเกลื้อนของผิวหนังได้
ควรเลือกใช้สบู่ผสมสารชุ่มชื้นเพื่อป้องกันผิวแห้งใช่หรือไม่
การใช้สบู่ชำระล้างทำความสะอาดผิวควรใช้ให้พอดี ถ้าหลังอาบน้ำเกิดผิวแห้งควรลดปริมาณการใช้สบู่ลง เลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัดหรืออาบน้ำนานเกินควร การใช้สบู่ผสมสารชุ่มชื้นต่าง ๆ อาจช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ โดยลักษณะของสบู่ชนิดนี้ต้องเหลือความลื่นของสาร ซึ่งหลายคนไม่ชอบ ดังนั้นถ้าใช้สบู่ผสมสารเพิ่มความชุ่มชื้นแต่ก็พยายามที่จะล้างออกให้หมด ก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะใช้ ทางที่ดีถ้าต้องการให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้ง เมื่อใช้สบู่ที่ผสมสารชุ่มชื้นแล้วก็ล้างออกให้พอดี เมื่อลูบผิวแล้วมีความลื่น ติดอยู่เล็กน้อยไม่ถึงกับขัดถูเสียจนผิวดังเอี๊ยด ถ้าเป็นอย่างนี้ใช้ไปก็ไม่มีประโยชน์จริง ๆ ด้วย
วิตามินหรือสารสกัดซึ่งผสมในสบู่จะช่วยถนอมและบำรุงผิวได้จริงหรือ?
เป็นอีกคำถามที่พบอยู่เสมอ ๆ ขอบอกว่า การใช้สารบำรุงผิวจะต้องทาทิ้งไว้อยู่นานพอให้สารซึมผ่านเข้าไปในผิวหนัง แต่ถ้าใช้เพียงชั่วครู่ และต้องล้างออกจึงไม่มีประโยชน์ ถ้าต้องการให้สารสกัดหรือวิตามินซึมผ่านเข้าไปในผิว ควรทาสารสกัดหรือวิตามินหลังการอาบน้ำแต่ก็ยังไม่มีข้อยืนยันว่าสารสกัดหรือวิตามินจะช่วยบำรุงผิวได้จริง
ปัจจุบันการทำความสะอาดผิวกายเพียงเพื่อชำระล้างคราบสกปรกออกจากร่างกายกลายเป็นธุรกิจไปเสียแล้ว เพราะมีการช่วงชิงตำแหน่งผู้นำทางการตลาดกันทุกรูปแบบ เวลาเราเดินในห้างสรรพสินค้าจะเห็นมีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมากมายวางเรียงรายให้เลือกซื้อ มีหลายรูปแบบ หลายราคา แต่ถ้าผู้บริโภคมีความเข้าใจในธรรมชาติของผิวหนังว่าผิวหนังของท่านต้องใช้ผลิตภัณฑ์ใดถึงจะทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ท่านก็จะสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ถูกต้องตามความต้องการและสมราคาอีกด้วย
2. มะละกอ
มะละกอมีถิ่นดั้งเดิมอยู่ในทวีปอเมริกาแถบร้อน โดยมีการสันนิษฐานกันว่า มะละกอถูกนำเข้ามาพร้อมกับชาว ยุโรปตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จากนั้นจึงได้กระจายพันธุ์ไปปลูกในทุกภาคของประเทศไทย โดยมะละกอใน
ชื่อภาษาอังกฤษ Carica papaya Linn. ลักษณะของมะละกอเป็นไม้ยืนต้น เนื้ออ่อน ต้นสูงประมาณ 3-6 เมตร ลำต้นตั้งตรงไม่แตกกิ่งก้านสาขา ข้างในลำต้นกลวง ไม่มีแก่นกลาง ลักษณะผิวลำต้นขรุขระและเป็นร่องตามยาว ต้นอวบน้ำมียางขาว ส่วนลักษณะใบมะละกอจะเป็นใบเดี่ยวสลับรอบต้น ออกใบเยอะบริเวณยอด ใบเป็นรูปฝ่ามือเว้าเป็นแฉกลึก 7 แฉก ขนาดใบใหญ่ ดอกมีหลายประเภท คือ ดอกตัวผู้ ดอกตัวเมีย และดอกสมบูรณ์เพศ
ส่วนผลมะละกอมีลักษณะเป็นรูปรี ยาว บ้างเป็นทรงกระบอก บ้างเป็นทรงกลม ผลอ่อนมีเปลือกสีเขียว เนื้อด้านในมีสีขาว เมื่อผลแก่หรือสุกเต็มที่เปลือกมะละกอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม เนื้ออ่อนนุ่ม เมล็ดมีสีดำ ในผลดิบจะมียางมะละกออยู่ที่ส่วนหัวเล็กน้อย
ส่วนผลมะละกอมีลักษณะเป็นรูปรี ยาว บ้างเป็นทรงกระบอก บ้างเป็นทรงกลม ผลอ่อนมีเปลือกสีเขียว เนื้อด้านในมีสีขาว เมื่อผลแก่หรือสุกเต็มที่เปลือกมะละกอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม เนื้ออ่อนนุ่ม เมล็ดมีสีดำ ในผลดิบจะมียางมะละกออยู่ที่ส่วนหัวเล็กน้อย
ประมาณ 7 ชิ้นคำ (6*2*1.5 ซม.) หรือ 144 กรัมโดยเฉลี่ย
พลังงาน 60 กิโลแคลอรี
- น้ำ 128 กรัม
- เหล็ก 2.5 มิลลิกรัม
- น้ำตาล 12 กรัม
- วิตามินเอ 435 มิลลิกรัม
- ไฟเบอร์ 2.4 กรัม
- ไทอะนิน 0.04 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 16 มิลลิกรัม
- ไรโบฟลาวิน 0.03 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 220 มิลลิกรัม
- ไนอะซิน 0.3 มิลลิกรัม
- เบต้าแคโรทีน 694 ไมโครกรัม
- วิตามินซี 79 มิลลิกรัม
จะเห็นได้ว่ามะละกอสุกเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการค่อนข้างมาก ทั้งกากใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ รวมไปถึงสารต้านอนุมูลอิสระ
สรรพคุณของมะละกอเรียกว่าดีตั้งแต่รากยันใบมะละกอเลยทีเดียวค่ะ โดยเราจะจำแนกประโยชน์ของมะละกอตามสัดส่วน ดังนี้
ประโยชน์ของรากมะละกอ
ช่วยขับปัสสาวะ โดยนำมาต้มกับน้ำสุกแล้วกรองเอาแต่น้ำมาดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ
ประโยชน์ของใบมะละกอ
บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ แก้บิด แก้ปอดบวม ขับพยาธิ โดยนำใบมะละกอไปต้มกับน้ำสะอาดแล้วกรองแต่น้ำมาดื่ม หรือหากใครมีอาการปวดข้อ ปวดเข่า ปวด บวม แดง บริเวณไหน ให้นำใบมะละกอไปย่างไฟ แล้วนำมาห่อหรือประคบอุ่น ๆ ในจุดที่ปวด อาการปวดก็จะลดลง
ประโยชน์ของผลมะละกอดิบ
ผลมะละกอดิบที่เรานำมาตำส้มตำหรือนำไปแกงส้ม มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับลม และขับปัสสาวะได้
ประโยชน์ของผลมะละกอสุก
กินเป็นผลไม้แก้ท้องผูก เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ และมีไฟเบอร์สูง บำรุงธาตุ แก้กระเพาะอาหารอักเสบ บำรุงน้ำนม และช่วยย่อยอาหาร
ประโยชน์ของเมล็ดมะละกอ
เมล็ดแก่ของมะละกอสามารถนำไปตากแห้งผสมกับเมล็ดฟักทองในปริมาณเท่า ๆ กัน แล้วผสมกับน้ำ 1 ถ้วย แล้วนำไปพอกแผลมีหนอง หรือพอกบนข้อที่มีอาการปวด
ประโยชน์ของยางมะละกอ
ยางมะละกอมีเอนไซ์ปาเปน ซึ่งเป็นเอนไซม์ช่วยย่อยเนื้อสัตว์ คนจึงมักนำยางมะละกอต้มลงไปกับเนื้อสัตว์หรือใช้ยางมะละกอหมักเนื้อสัตว์ดิบ เพื่อให้เนื้อมีความเปื่อยและนุ่ม
สรรพคุณของมะละกอที่เราจะได้ หากกินมะละกอสุก
มะละกอสุกเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวาน อร่อย และสามารถกินได้เลยไม่ต้องนำไปปรุงให้สุกแต่อย่างใด ที่สำคัญเนื้อมะละกอสุกยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี และสารอาหารต่าง ๆ อีกมากมาย ดังนั้นหากเรากินมะละกอสุกบ่อย ๆ ก็จะได้ประโยชน์ตามนี้
- บำรุงสายตา
มะละกอเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตมินเอ วิตามินที่สำคัญต่อการทำงานของจอประสาทตาและการมองเห็น โดยเฉพาะการมองเห็นในตอนกลางคืน อีกทั้งเบต้าแคโรทีนในมะละกอยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ จึงช่วยเสริมพลังในการบำรุงสายตาของเราได้อีก
- บรรเทาอาการเลือดออกตามไรฟัน
วิตามินซีมีส่วนสำคัญในการป้องกันเลือดออกตามไรฟัน และในมะละกอเองก็มีวิตามินซีอยู่ไม่น้อยนะคะ รวมไปถึงวิตามินอื่น ๆ อีกมากมาย
- บำรุงเลือด บำรุงน้ำนม
สารอาหารในมะละกอมีส่วนช่วยบำรุงเลือด และช่วยขับน้ำนมให้คุณแม่หลังคลอด อีกทั้งการกินมะละกอสุกยังช่วยผ่อนคลายระบบประสาทของคุณแม่ด้วยนะคะ ส่งผลให้การหลั่งน้ำนมเป็นไปอย่างไหลลื่นมากขึ้น
เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
มะละกอมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเบต้าแคโรทีน ซึ่งสารอาหารที่มีประโยชน์เหล่านี้จะช่วยเสริมภูมิคุมกันของร่างกาย ช่วยให้เราไม่ป่วยได้ง่าย ๆ
- ช่วยลดการอักเสบ
เมื่อร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้น อาการอักเสบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายก็จะลดน้อยลง ที่สำคัญในมะละกอยังมีเอนไซม์ปาเปน เอนไซม์ที่มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบที่เกิดจากการปวด บวม แดง ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อได้
- ช่วยย่อยอาหาร
เอนไซม์ปาเปนในมะละกอที่มีสรรพคุณในการย่อยเนื้อก็มีส่วนช่วยย่อยอาหารในกระเพาะอาหารได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าจะกินมะละกอดิบจากเมนูส้มตำ หรือกินมะละกอสุกก็ได้รับเอนไซม์ช่วยย่อยอาหารได้เหมือนกันเลย
- แก้ท้องผูก
มะละกอมีไฟเบอร์สูง และมีน้ำย่อยธรรมชาติที่สามารถกำจัดคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ร่างกายย่อยไม่หมดออกไป ช่วยกำจัดอุปสรรคที่ขัดขวางการขับถ่ายของลำไส้ รวมทั้งพาเอาปัญหาท้องผูกออกไปจากตัวเราด้วย ที่สำคัญคือ ยังมีสารเพกตินที่เป็นสารช่วยเคลือบกระเพาะและลำไส้ ช่วยลดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร พร้อมกับสรรพคุณที่ช่วยให้กากอาหารมีมากขึ้นจนไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวถ่ายออกมา เมื่อถ่ายง่าย ถ่ายคล่อง ก็จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ด้วยล่ะ
- มีเบต้าแคโรทีนช่วยต้านมะเร็ง
สารต้านอนุมูลอิสระอย่างเบต้าแคโรทีนมีคุณสมบัติช่วยป้องกันเซลล์ร้ายเกิดขึ้นกับร่างกาย จึงถือว่ามะละกอเป็นผลไม้ช่วยต้านมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจมากพอสมควรเลยค่ะ
ระโยชน์ของมะละกอต่อผิวก็ดี
- ช่วยลดน้ำหนัก
คุณสมบัติช่วยย่อยอาหารที่มะละกอมีจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้ดียิ่งขึ้น การดูดซึมสารอาหารก็จะมีประสิทธิภาพขึ้น รวมไปถึงการขับถ่ายของเสียก็คล่องตัวขึ้น
3. กลีเซอรีน
ชื่อทางเคมีกลีเซอรีนบริสุทธิ์ 99.5% (USP Grade)
ชื่ออื่น : -Glycerin
-Glycerol
-propanetriolTrihydroxypropane กลีเซอรีนคือ ของเหลวที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีความหนืด และมีรสหวาน โดยปกติมาจากน้ำมันของพืช ซึ่งโดยทั่วไปคือ น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม
ประโยชน์ของกลีเซอรีนบริสุทธิ์ สามารถนำไปประยุกต์เป็นส่วนช่วยหล่อลื่นเหมือนมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เพื่อปกป้องผิวไม่ให้แห้งและดูดซับความชื้นเมื่อสัมผัสกับอากาศ ซึ่งจะทำให้รู้สึกว่า ผิวมีความชุ่มชื้น อ่อนโยนต่อผิว ขจัดความสกปรกที่ฝังแน่น ไม่ทำให้อุดตันรูขุมขน รวมทั้งปลอดภัยต่อผิวหนัง และเนื้อผ้าทุกชนิด การที่กลีเซอรีนเป็นสารที่ไม่มีพิษในทุกๆ รูปแบบของการประยุกต์ใช้ ไม่ว่า จะใช้เป็นสารตั้งต้นหรือสารเติม แต่ง ทำให้กลีเซอรีนได้รับความสนใจและนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ด้วยการทำยาเหน็บทวาร ใช้เป็นยาระบาย และยังสามารถใช้เป็นยาเฉพาะที่สำหรับปัญหาทางผิวหนังหลายชนิด รวมถึง โรงผิวหนัง ผื่น แผลไฟลวก แผลกดทับ และบาดแผลจากของมีคม กลีเซอรีนถูกใช้เพื่อรักษาโรคเหงือกได้ด้วย เนื่องจากกลีเซอรีนสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เกี่ยวข้องได้
ประโยชน์อื่นๆของกลีเซอรีน
· ถ้าผสมกลีเซฮรัน 1 ช้อนโต๊ะ ลงในนํ้า ซักผ้าขนสัตว์ จะทําให้ขนสัตว์ฟูอ่อนนุ่มขึ้น
· ถ้าใช้กลีเซอรีนทามือก่อนนอนทุกคืน จะช่วยถนอมมือให้นุ่มนวลอยู่เสมอ
· หยดกลีเซอรีนบนรอยเปื้อนมัสตาร์ดบนผ้าแล้วนำไปซัก รอยเปื้อนจะหายไป
· ถ้าใช้ฟองนํ้าจุ่มกลีเซอรีนเช็ดกระจกในห้องนํ้า ขณะอาบนํ้าร้อน กระจกจะใสสะอาด
· ถ้าหยดกลีเซอรีนลงไปในหลอดมาสคาร่าที่เริ่มจะแห้ง จะช่วยยืดอายุของการใช้งานออกไปได้อีก
· ถ้าต้องการละลายนํ้าแข็งในตู้เย็น ทําได้ด้วยการเช็ดตู้เย็นด้วยผ้าชุบกลีเซอรีนให้ทั่ว นํ้าแข็งจะหลุดออกได้ง่าย
· ถ้าใช้กลีเซอรีนหยดลงบนผ้านุ่ม แล้วเช็ดตามใบไม้ในร่ม ใบไม้จะเป็นมันสะอาด
· ถ้าผสมกลีเซอรีน 1 ถ้วยตวงกับน้ำ 1 ลิตร เทลงในอ่างนําดอกไม้ที่ต้องการทำเป็นดอกไม้แห้ง แช่ลงไปให้ท่วมทั้งดอก ก้านและใบทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ เพื่อให้ตัวยาซึมลงไปในดอกไม้ แล้วจึงนำดอกไม้นั้นมาประดับตกแต่งเป็นช่อบูเก้ ดอกไม้จะอยู่ทนนาน
ทำความสะอาดช่องแช่แข็ง
คราบอาหารหมดโอกาสติดแน่นอยู่ในช่องแช่แข็งถ้ามีกลีเซอรีน โดยขจัดคราบอาหารแล้วใช้เศษผ้าแตะกลีเซอรีน ซึ่งเป็นตัวทำละลายตามธรรมชาติเช็ดบริเวณคราบติดแน่นให้สะอาด เท่านี้เราก็ได้ช่องแช่แข็งใหม่สะอาดเอี่ยม
สบู่เหลวขวดใหม่
เศษสบู่ที่เหลือจะเอาไปทำอะไรดีหนอ ผสมกลีเซอรีนลงไป แล้วบี้สบู่ให้เข้ากันในน้ำอุ่น เทส่วนผสมใส่ขวดปั๊มเท่านี้คุณก็มีสบู่เหลวราคาประหยัดเอาไว้ใช้
ถนอมใบไม้
เจอใบไม้รูปทรงแปลกๆ อยากเก็บไว้ดูเล่นหรือเอาไปตก แต่งบัตรอวยพร แต่แทนที่จะทับแห้งอย่างที่เคยทำ ลองเปลี่ยนมาแช่กลีเซอรีนดู ใบไม้ที่แช่กลีเซอรีนจะคล้ายใบไม้สด สีจะเปลี่ยนไปบ้าง อาจจะสีเขียวเข้มขึ้น หรือเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แล้ว แต่ความอ่อนแก่ของใบ ชนิดของใบ เป็นต้น วิธีการ คือผสมกลีเซอรีนกับน้ำอุ่นเกือบร้อน 2 ส่วน คนให้เข้ากันทิ้งไว้ให้เย็น เลือกใบไม้ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์มาจัดวางในภาชนะโดยส่วนโคนใบอยู่ด้านล่างเทส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงไปให้ท่วม ทิ้งไว้นาน 2 สัปดาห์ ถึง 2 เดือนเอาใบขึ้นมาล้างน้ำ เช็ดให้แห้งและตากลมอีกครั้ง
คราบถ่านหายไป
คุณคงคิดว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะขจัดคราบถ่านหรือคราบมัสตาร์ด แต่เป็นไปได้ถ้าคุณใช้กลีเซอรีน ถูกลีเซอรีนตรงรอยเปื้อน แล้วทิ้งไว้ราวหนึ่งชั่วโมง จากนั้นใช้กระดาษอเนกประสงค์ที่ใช้ในครัวเช็ดออก โดนค่อยๆ กดแล้วยกขึ้น ซึ่งอาจต้องทำซ้ำหลายๆ ครั้ง
แก้ไขมือหยาบกร้าน
เพียงผสมกลีเซอรีนและน้ำมันระหุงอย่างละเท่ากันเป็นเนื้อเดียว ใช้สูตรนี้ทามือให้ทั่วทั้งฝ่ามือและหลังมือ ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง มือจะนุ่มนวลขึ้น
ทำสบู่ใช้เอง
สบู่ทำเองเป็นของขวัญชิ้นเยี่ยมและทำง่ายมาก เพียงมีกลีเซอรีนและเตาไมโครเวฟ ก็ลงมือได้เลย ตัดกลีเซอรีนที่ส่วนใหญ่ จะมาขายเป็นท่อนๆ ให้เป็นลูกเต๋าขนาด 2 นิ้ว หย่อนกลีเซอรีนหลายๆ ก้อนใส่ภาชนะแก้ว เอาเข้าเตาไมโครเวฟไฟปานกลาง เอาออกมาดูทุกๆ 30 วินาที จนกว่าจะละลายใช้ได้ ถึงตรงนี้ให้เติมสีหรือกลิ่นที่คุณชอบ จากนั้นรินกลีเซอรีนเหลวลงในพิมพ์สบู่หรือพิมพ์ขนม ถ้าไม่มีใช้ถ้วยพลาสติกโพลีสไตริน เทลงไปซัก 3 ใน 4 นิ้วจากก้นถ้วย ทิ้งให้แข็งตัวราวครึ่งชั่วโมง
ขจัดคราบกาแฟค้างเก่า
เสื้อตัวสวยกลับจากงานเลี้ยงน้ำชา-กาแฟด้วยคราบกาแฟที่เปื้อนใส่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าเห็น แต่แรกซับด้วยน้ำทันทียังพอทำเนา แต่คราบเก่าซักยากยิ่ง ลองซับด้วยน้ำเย็นดูก่อนแล้วให้ถูให้ทั่วด้วยกลีเซอรีน ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จากนั้นจึงซักตามปกติ
วิธีการทำสบู่มีอยู่ 3 วิธีหลักๆ
1.Melted and Pour ก็คือใช้กลีเซอรีน (Glyserine Soap Base) ซึ่งต้องไปหาซื้อมา เอามาหั่นเป็นอันเล็กๆ ละลาย ผสมนู้นนี่ แล้วเทใส่แม่พิมพ์ พอเย็น แข็งตัวแล้ว เอามาใช้ได้เลย
2.Cold Press หรือ การทำสบู่พื้นฐาน หรือ เรียกว่า ทำ Soap Base
3.Hand-milled soap หรือ การทำสบู่สองขั้นตอน ก็คือ การนำ Soap Base มาขูดเป็นฝอยนำมาละลาย แล้วผสมนู้นนี่ลงไป
โดยปกติแล้วส่วนใหญ่จะเลือกทำแบบ วิธี 2 และ 3 ค่ะเพราะว่า เราสามารถควบคุมและเลือกได้ว่าน้ำมันประเภทไหนที่เราอยากใช้ในการทำ Soap Base อย่างเช่น น้ำมันมะกอก น้ำมัน โจโจบา น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันมะพร้าว ฯลฯ น้ำมันแต่ละชนิดก็จะมีประโยชน์สำหรับผิวพรรณแตกต่างกันไป ถ้าเราทำ Soap base เอง เราก็สามารถเลือกน้ำมันมาผสมกันได้หลายชนิดด้วย แต่เวลาในการตากแห้งจะใช้เวลานานหลายอาทิตย์ กว่าจะนำมาใช้ได้
กลีเซอรีน ก็คือสบู่พื้นฐาน ที่เกิดจาก วิธีทำสบู่แบบที่ 2 ที่เรียกว่า Coldpress Soap Making.. สิ่งที่ทำให้สบู่กลีเซอรีน แตกต่างจากสบู่พื้นฐานทั่วไปก็คือ ใช้แอลกอฮอร์บริสุทธิ์ (grain Alchohole, Ever grade Alchohol) 80-100% เป็นส่วนหนึ่งในการผสม ที่ทำให้สบู่ใส และ แข็งตัวเร็วขึ้นมากหลังจากนำมาละลายอีกครั้ง (เพื่อเติมใส่สี กลิ่น และ ตัวผสมอย่างอื่นเพิ่มเติม)
วิธีทำ ได้แก่
1. เตรียมพิมพ์ โดยการทาพิมพ์ด้วยวาสลินเพื่อให้แคะสบู่ออกจากพิมพ์ได้ง่าย(อาจใช้พิมพ์วุ้นพลาสติกหรือกล่องพลาสติกก็ได้ เมื่อสบู่แข็งตัวแล้วจึงนำมาตัดเป็นก้อนตามขนาดที่ต้องการ)
2. หั่นสบู่ก้อนใสให้เป็นชิ้นเล็กใส่ในภาชนะที่ทนความร้อน นำไปตุ๋นให้ละลายเป็นของเหลว เมื่อสบู่ละลายแล้ว นำลงจากเตา (การตุ๋นสบู่ คือการทำให้สบู่ร้อนด้วยไอจากน้ำเดือด โดยใช้หม้อ 2 ใบ ใบล่างใส่น้ำตั้งบนเตาไฟให้เดือด ใบบนใส่สบู่แล้ววางซ้อนไว้บนหม้อใบล่าง ที่ทำอย่างนี้เพื่อไม่ให้เนื้อสบู่ไหม้)
3. เตรียมสมุนไพรโดยผสมน้ำหมักชีวภาพมะเฟือง เกลือแกง น้ำผึ้ง และขมิ้นผง คนให้ละลายเข้ากันแยกไว้ในภาชนะต่างหาก(ฤดูร้อน ผิวไม่แห้งมาก ควรลดปริมาณน้ำผึ้ง อาจใส่เพียง 1/8 ถ้วยตวง สำหรับผู้ที่ผิวแห้งหรือใช้ในฤดูหนาว ให้ใส่น้ำผึ้ง 1/4 ถ้วยตวง ) ห้ามใส่สมุนไพรที่เป็นของเหลวเกินกว่าส่วนที่กำหนดเพราะสบู่จะไม่แข็งตัว
4. เทน้ำสมุนไพรที่เตรียมไว้ในข้อ 3 ลงในสบู่ที่ละลายแล้ว คนเบาๆให้ส่วนผสมเข้ากัน พอสบู่อุ่นลงสักเล็กน้อยจึงใส่น้ำหอม คนให้ส่วนผสมเข้ากันแล้วหยอดสบู่เหลวลงในพิมพ์
5.ปล่อยทิ้งไว้จนสบู่แข็งตัวดีจึงแคะออกจากพิมพ์ เก็บสบู่ไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เก็บภาชนะไว้ในที่ไม่ร้อนและแสงแดดส่องไม่ถึง
ข้อควรทราบ
1. สบู่ก้อนใส (Transparent soap) บางครั้งเรียกว่าสบู่กลีเซอรีนหรือเกล็ดสบู่แข็ง เป็นก้อนทำความสะอาดผิว ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรีนและไขมันจากพืช กลีเซอรีนจะช่วยดูดความชื้นจากอากาศและอ่อนโยนต่อผิว เมื่อใช้แล้วจะรู้สึกว่าผิวมีความชุ่มชื้น ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน
2. ขณะใช้สบู่สูตรนี้อาจรู้สึกคล้ายกับมีเม็ดทรายอยู่ในเนื้อสบู่ นั่นคือเนื้อขมิ้น
3.อย่าเก็บหรือวางสบู่ไว้ในที่มีแสงแดดส่องถึงโดยตรงหรือที่มีอุณหภูมิสูงเพราะจะทำให้สบู่ละลาย และหาก วางสบู่ก้อนใสไว้นอกภาชนะ เมื่อสัมผัสกับอากาศชื้น อาจเกิดหยดน้ำเล็กๆเกาะกระจายอยู่ทั่วก้อน หรือสบู่จะขุ่นขึ้น ซึ่งเกิดจากคุณสมบัติในการดูดความชื้นจากอากาศของกลีเซอรีน สามารถนำสบู่มาใช้ได้ตามปกติ ไม่เสีย
4. เมื่อใช้สบู่นี้แล้วไม่ควรวางก้อนสบู่ไว้ในที่ชื้นหรือมีน้ำขัง เพราะสบู่จะละลายเป็นของเหลว
5. ในผู้ใช้บางรายหลังจากใช้สบู่สูตรนี้ใหม่ๆอาจรู้สึกตึงผิวเล็กน้อย หรืออาจจะมีสิวเม็ดเล็กๆขึ้นมา ประมาณ 3-5 วัน จะค่อยๆหายไปเอง
6. สมุนไพรที่นำมาผสมกับสบู่มีหลายชนิด ก่อนใช้ควรศึกษาถึงคุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละชนิดและเลือกใช้ให้ เหมาะสมกับตนเอง เช่น ขมิ้น มะเฟือง น้ำผึ้ง มะขาม เปลือกมังคุด ว่านหางจระเข้ มะละกอ แตงกวา น้ำนม ผงถ่านกัมมัน ฯลฯ และหาความรู้เพิ่มเติมเรื่องการทำน้ำหมักชีวภาพมะเฟืองได้ที่ “ผลไม้ลดโลกร้อน”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น